เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ พ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อหัวใจนะ สิ่งที่ร่างกายต้องการปัจจัยเครื่องอาศัยเวลาเราเกิดมา เราหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อความมั่นคงของชีวิต เราก็ทุกข์เราก็ยากพอสมควรแล้ว คำว่า“พอสมควร” เพราะเรากระเสือกกระสนของเราอยู่ ใครจะสร้างบุญกุศลของเขามา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขามา นี่เขาสร้างบุญกุศลของเขามา เขาเรียกว่า“กรรมเก่า”

กรรมเก่าเกิดมา คนที่เกิดมาคนมีบุญเกิดมันมีโอกาส มีวาสนา มีความเป็นไปพอเป็นไปได้ทั้งชีวิตเวลาคนทุกข์มันเกิด เวลาเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกันมันมีความทุกข์ยากมา เราสร้างบุญกุศลของเรามาขนาดนี้ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันก็ขาดตกบกพร่อง นี่ความขาดตกบกพร่อง แต่ทุกคนนะ ทุกคนมีชีวิต ทุกคนมีธาตุรู้ คำว่า“ธาตุรู้” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ คำว่า“เป็นพระอรหันต์” ทำไมถึงเป็นพระอรหันต์ล่ะ คำว่า“เป็นพระอรหันต์” ต้องมีการกระทำถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้สิ

คนเกิดมาด้วยกัน เกิดมาด้วยอวิชชา เพราะคนเกิดด้วยกัน คนบุญเกิดคนบาปเกิดก็เกิดเหมือนกันทั้งนั้นแหละ เวลาจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็เวียนว่ายตายเกิดตามอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้น คนสร้างบุญญาธิการมาสร้างมาดี เวลาพระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้ว จะต้องทำคุณงามความดีต่อเนื่องๆๆกันไป ต่อเนื่องกันไป มันก็พันธุกรรมของจิตๆ

ถ้าเรามีแต่ความคิดดีๆ ถึงเราจะตกทุกข์ได้ยากขนาดไหน แต่หัวใจเราเป็นคุณธรรมนะเราพอใจกับสิ่งนี้เพราะเราทำของเรามาเอง ตกทุกข์ได้ยากขนาดไหนดูสิ พระโพธิสัตว์เวลาเสวยชาติเป็นเตมีย์ใบ้ นี่ขันติบารมี ความอดความทนมีทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ความอดความทน มองด้วยสายตาของโลกมันก็ทุกข์ยากนั่นล่ะแต่หัวใจมันเข้มแข็ง หัวใจมันอดมันทนของมันได้ สิ่งนั้นเป็นของเล็กน้อยทั้งนั้นแหละ มันผ่านของมันได้ถ้าจิตใจที่สร้างบุญญาธิการมา

คำว่า “บุญญาธิการมา” เราไม่ทุกข์ไม่ยากจากภายใน คนไม่ทุกข์ไม่ยากจากภายในมันจะคิดทำสิ่งที่มันเอาแต่บาป เอาแต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเองไหม คำว่า “เอาฟืนเอาไฟเผาตัวเอง” ทำสิ่งใดทุจริต ทำสิ่งใดเพื่อความปรารถนาของกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันกว้านมาๆ มันฟืนมันไฟทั้งนั้นแหละมันฟืนมันไฟเพราะอะไร เพราะเราต้องการเทียมหน้าเทียมตาสังคมไงถ้าเทียมหน้าเทียมตาสังคม แต่เราเทียมหน้าเทียมตาทางธรรมสิ

ถ้าเทียมหน้าเทียมตาทางธรรม เห็นไหม ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเทศนาว่าการขึ้นไปลูกศิษย์ลูกหาสาวก-สาวกะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเป็นหมื่นเป็นแสนเทวดา อินทร์ พรหมฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเขาเป็นที่ไหนล่ะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะเหตุใด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณจุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ วิชชา ๓ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาวิชชา ๓ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาคนที่เคยกระทำมา เทศนาว่าการมา เทวดาอินทร์ พรหมฟังตรงนั้นน่ะ ฟังว่าเราจะพิจารณาอย่างไรเราจะจับสิ่งใด เราจะทำสิ่งใด

แล้วเวลาปากกัดตีนถีบทำงานของโลกๆ“ปัจจัยเครื่องอาศัยเราก็ทุกข์ยากแสนเข็ญมาขนาดนี้แล้วทำไมจะต้องมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มันทุกข์มันยากขึ้นมาอีกล่ะ”

นี่ความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากเพราะมันยืนยันใช่ไหมว่าชีวิตเกิดมาอย่างนี้มันปากกัดตีนถีบ จะเกิดมามั่งมีศรีสุขขนาดไหน ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจว้าเหว่ไง ทุกดวงใจว้าเหว่ เห็นไหม สิ่งที่สังคมให้ค่ากันไปเอง สังคมให้ค่ากันไปเองว่าคนที่มั่งมีศรีสุขคนนั้นเป็นคนที่มีความสุข คนที่เป็นคนทุกข์คนยากคนนั้นเป็นคนที่มีความทุกข์

ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ พระเราจะต้องทุกข์ต้องจน พระยิ่งขาดแคลน ยิ่งทุกข์ยิ่งจน พระองค์นั้นเป็นอริยประเพณีประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระผู้ใดสะสม สะสมสิ่งต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายพระองค์นั้นเป็นเรื่องโลกๆ โลกเขายกย่องสรรเสริญ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานะใครถือธุดงควัตรดูสิ เวลาสมัยหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น อยู่ที่หนองผือหนองผือมันเป็นหมู่บ้านอยู่ในป่า มันไม่มีตลาด มันไม่มีตลาดคือไม่มีการซื้อขาย ทุกคนต้องแสวงหามา ทุกคนอยากจะได้สิ่งใดมาทำบุญต้องทำไร่ไถนา ทำสวนมามันถึงจะมีสิ่งนั้นมาทำบุญกุศล แล้วเวลาพระไปบิณฑบาตมา สิ่งที่พระ ๔๐-๕๐ องค์ มันขาดแคลนทั้งนั้นแหละ นี่เวลาขาดแคลนยังถือธุดงควัตรอีก

พอถือธุดงควัตร ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าสิ่งใดเราขาดแคลน คนขาดแคลนมันก็อยากได้ พอคนขาดแคลนมันก็อยาก พอใครใส่สิ่งใด อาหารที่ถูกจริตนิสัยของตัว ครูบาอาจารย์ท่านจับอาหารนั้นโยนเข้าป่า โยนเข้าป่า ดัดนิสัยๆ นั่นเขาทำทำไมน่ะ เขาทำทำไม

แต่เราพยายามแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยให้สมบูรณ์ๆ แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านได้สิ่งใดมาที่ถูกกับจริต คือมันชอบ ถูกกับความชอบ ใครชอบอาหารสิ่งใดคนนั้นก็ชอบ ใครไม่ชอบอาหารสิ่งใด สิ่งนั้นจะประเสริฐขนาดไหนเราก็ไม่ชอบ

ถ้ามันถูกกับจริตนะ ถูกกับจริตนี่กิเลสมันกินแล้วกิเลสมันกินก่อนความคิดมันกินก่อนความคิดมันถูกกับความพอใจของเราเดี๋ยวเราจะเอาสิ่งนี้ใส่บาตรไว้ นี่ท่านจับสิ่งนั้นโยนเข้าป่าท่านจับสิ่งนั้นเขวี้ยงเข้าป่าเลย ท่านมีสติขนาดนั้น

นี่บอกว่าเราปรารถนากันเพื่อความมั่นคงของชีวิต เราปรารถนาเพื่อสิ่งที่สมความปรารถนา นี่เราปรารถนากัน เห็นไหม ถ้าปรารถนาอย่างนั้น ถ้ามันเป็นกองทัพ กองทัพเดินด้วยท้อง เวลากองทัพเขารบทัพจับศึก เขาต้องมีเสบียงอาหารของเขาไปทั้งนั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราก็มีทานของเรา เราก็มีศีลของเรา มีภาวนาของเรา ใครทำทานของเขามา พระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภมากที่สุดในลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะท่านได้ทำของท่านมา ท่านได้เสียสละของท่านมาเห็นไหม ระบบของทาน ทานคือใครทำคนนั้นก็ได้ ใครทำสิ่งใดมันได้ที่ไหนล่ะ เวลาเราเสียสละไป สิ่งที่เราเสียสละไปมันได้มาตรงไหนล่ะ

มันเสียสละออกไปมันเป็นวัตถุวัตถุเราแสวงหามาเราพอใจเราถึงทำบุญกุศลของเราไป แต่หัวใจเราได้หัวใจเราได้เพราะอะไร สิ่งนั้นเรายื่นออกจากมือเราไปสายตาเราเห็นจิตใจเรารับรู้ พอรับรู้ขึ้นมา ของนั้นอยู่กับจิตนั้นตลอดไปภาพประทับใจมันอยู่กับใจนี้ตลอดไปอยู่กับใจนี้ตลอด นี่เป็นทิพย์ๆ สิ่งนี้มันทำจนเป็นจริตนิสัยเวลาเวียนว่ายตายเกิดมันไปกับใจดวงนั้นไง เราไม่ต้องส่งไปรษณีย์ไปเราไม่ต้องอุทิศส่วนกุศลไป เขาเอาของเขาไปเอง เขาทำของเขา เขาเห็นของเขา เขาได้กระทำของเขา ใครทำใครได้ ใครทำใครได้ตรงนี้ เห็นไหม

ถ้าเรื่องระบบของทาน ทำอย่างนี้มันเวียนว่ายตายเกิด เกิดมาก็มีบุญกุศล เกิดมา เราได้ทำของเรามา สิ่งที่เราทำของเรามามันจะมีจังหวะและโอกาสจะเป็นของเรา ถ้าจังหวะโอกาสของเรา สิ่งใดที่มันขาดตกบกพร่องไปเรายังทำไม่ถึง เราก็อุเบกขา เวลาอุเบกขา ถึงที่สุด เราจะทำของเราให้ถึงที่สุด แล้วทำสิ่งนี้ไปจิตใจมันก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อนจนเกินไป

ถ้าคนมีศีลคนมีศีลอายุมั่นขวัญยืน ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ที่ศีลทั้งนั้นแหละ เห็นไหม อายุสั้น อายุยืน คนถ้ารักษาศีลดี เราให้ชีวิตเขาเราให้โอกาสเขาเราทำแต่คุณงามความดีของเรา ชีวิตของเรามันจะมีอะไรมาตัดทอนล่ะ ถ้าเราไปตัดทอนชีวิตเขา เราไปทำลายเขา แล้วเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็บอกว่า “เราทำสิ่งใดมา เราทำสิ่งใดมา”

“ทาน ศีลภาวนา” คนที่ฉลาดคนที่ฉลาดจะมีสติปัญญารู้เท่าทุกๆอย่างมันต้องฝึกหัดของเรา เราฝึกหัดของเรา เรามีเชาวน์ปัญญา เห็นไหม คนมีการศึกษามากมายขนาดไหนเขาก็ยังไปโดน ๑๘มงกุฎหลอกตลอดเพราะอะไร เพราะความโลภ ความอยากได้ของเขา นี่ถ้าคนไม่มีปัญญานะ

เรามีปัญญาของเรา สิ่งที่เขาจะเอามาให้เราโดยที่ไม่มีผลตอบแทนมันเป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ ถ้าเขาจะให้สิ่งใดเรา ถ้าเป็นอำนาจวาสนาของเรา เป็นโอกาสของเรา มันก็เป็นครั้งเป็นคราวเท่านั้นแหละเวลาเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา เรามีสติปัญญา เราไม่เป็นเหยื่อของเขา

เรามีสติปัญญาทางวิชาชีพเราศึกษามา ศึกษามาแล้วเป็นสมบัติของเรา มันเป็นสัญญา เป็นความจำได้หมายรู้ เป็นทางวิชาการ แต่ถ้าปัญญาของเราคือเชาวน์ไง คือปฏิภาณ เชาวน์ปฏิภาณไหวพริบมันทันคน ถ้ามันทันคนขึ้นมาแล้ว ดูสิ

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา”

ความรู้ความคิดต่างๆกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเกิดมาจากไหน? มันก็เกิดมาจากหัวใจเราทั้งนั้นแหละ กิเลสของคนอื่นมันทำลายเราไหม กิเลสของคนอื่นมันเหยียบย่ำเราไหม? มันไม่มีอะไรมาเหยียบย่ำหัวใจเราเลย มันมีแต่กิเลสในหัวใจเราเหยียบย่ำทั้งนั้นแหละ แล้วมันเกิดจากไหนล่ะ

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา”

ถ้าเรามีสติปัญญา มันเท่าทันถ้ามันเท่าทันนะ มันก็สงบระงับ มันสงบระงับมันก็เป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ แล้วมันเกิดจะใช้ปัญญาไปล่ะ เห็นไหม ปฏิภาณไหวพริบมันก็มีอยู่แล้วปฏิภาณก็เป็นปฏิภาณ แต่ถ้าเป็นภาวนามยปัญญาปัญญามันเกิดขึ้นจากการภาวนา ถ้าปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนา ปัญญาเห็นไหม “เราทำไมต้องมาเดือดมาร้อนกันนัก เราทำมาหากิน เราก็ทุกข์ก็ยากอยู่แล้ว ทำไมต้องมาภาวนาของเราอีกล่ะ”

สัตว์ประเสริฐ สัตว์อาชาไนย ดูสิ เวลาเขาซื้อสัตว์ เลี้ยงสัตว์ เขาจะเอาตัวที่ฉลาด เขาจะเอาตัวที่มีคุณภาพดี นี่ก็เหมือนกัน สัตว์อาชาไนยมันหายาก นี่ก็เหมือนกันจิตใจที่เป็นอาชาไนย เห็นไหมดูสิ เขาแสวงหากันทางโลก เขาแสวงหาสิ่งนั้นว่าเป็นความสุขของเขา แต่ความสุขของเขามันเป็นสมมุติ ดูสิ ค่าของเงิน ถ้าเขาประกาศเลิกใช้แล้วมันก็เป็นเศษกระดาษไปทั้งนั้นแหละ สิ่งที่เวลาสังคม กระแสสังคมมันตื่นเต้นขึ้นมา สิ่งนั้นเขาเล่นอะไรกันก็มีค่าขึ้นมาทันที พอมันอิ่ม ตลาดมันอิ่มตัวแล้ว พอเขาเลิกแล้วสิ่งนั้นก็ไม่มีค่าขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้มันสมมุติขึ้นมาทั้งนั้นแหละ สังคมเขายอมรับ มันก็เกิดขึ้นนี่เป็นโลก ขนาดของมันก็เท่าเดิมอยู่นั่นน่ะ แต่พอกระแสสังคมมันเบาบางไปสิ่งนั้นมันก็ด้อยค่าไป

แต่สิ่งที่ในหัวใจเราล่ะ ศีลสมาธิ ปัญญา มันมีการซื้อขายที่ไหน

ตอนนี้เขาตื่นกระแสกัน การปฏิบัติ ใครๆ ก็อยากปฏิบัติ แล้วปฏิบัติอะไรล่ะ มันก็ปฏิบัติตามประเพณีปฏิบัติไปตามวิธีการ เห็นเขาทำก็ทำกันไป กระแสทั้งนั้นแหละ กระแสนั้นเป็นกระแสโลกไง

ถ้าจิตมันเป็นสมาธิล่ะ เป็นกระแสไหม

สมาธิกระแสมันทำให้เกิดไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมันเกิดด้วยสติปัญญาของเรา ถ้าเกิดสติปัญญาของเรา ดูสิ เวลามีกระแสอะไรเกิดขึ้นเงินในกระเป๋าเราถ้าเขาเล่นกันมันก็มีค่าขึ้นมา ถ้าเขาไม่เล่นกัน เงินในกระเป๋าเราก็ด้อยค่าลงไป นี่มันก็อยู่ที่กระแสสังคม แต่เงินนั้นก็อยู่ในกระเป๋าเราเท่าเดิม มีกี่ใบก็อยู่เท่าเดิมนั่นล่ะกระแสๆ นี่ค่าของเขา ค่าของสังคมไง

ถ้าเป็นสมาธิล่ะ สมาธินะกระแสมันจะหวั่นไหวขนาดไหนกระแสมันจะรุนแรงขนาดไหน สมาธิก็เป็นสมาธิของเราเวลาสมาธิมันเจริญขึ้น สิ่งที่เจริญขึ้น คนที่เจริญขึ้นมันต้องมีการเสื่อมลง ดูสิ คนเกิดมา ตั้งแต่ทารกทารกเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามันต้องชราคร่ำคร่าเป็นธรรมดาของที่เป็นธรรมดาแล้วเราธรรมดาไหมล่ะ เวลาพูดไปก็พูดเป็นธรรมดาเวลาพูดมันเป็นจิตที่ส่งออก มันพูดอะไรสิ่งใดก็ได้เพราะเวลาพูดจิตใจมันก็หวั่นไหว“มันเป็นธรรมดาเราไม่เดือดร้อน เราไม่สั่นไหว” แต่มันสั่นไหว

แต่เวลาตัวเองจะเป็นขึ้นมาตกใจ ใจนี้หลุดไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยเวลาเป็นอะไรขึ้นมา หัวใจนี้หายไปหมดเลย เป็นบ้านร้าง มีแต่ซากศพ มีแต่โครงสร้างโครงร่างกายเท่านั้นแหละ หัวใจไปไหนล่ะ หัวใจไปไหน

นี่ไง แต่ถ้าคนมีปัญญา สัตว์อาชาไนย เขาดูกันที่นี่ ร่างกายมันชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่หัวใจถ้าไม่ไปทุกข์ร้อนกับมัน คำว่า “ไม่ทุกข์ร้อนกับมัน” คำว่า “เป็นธรรมดา” มันก็เป็นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้มันเป็นเพราะอะไรล่ะ มันเป็นเพราะเราประมาทไง

เวลาร่างกายเราแข็งแรงเวลาเราทำสิ่งใดได้ เราก็ไม่รีบขวนขวายของเราแต่เวลามันชราคร่ำคร่าขึ้นมาแล้วเราก็มาปรารถนาว่าเราจะทำคุณงามความดีของเรา แล้วร่างกายมันก็ไม่ได้ดั่งใจอยู่แล้ว แล้วจะเอาจิตใจของเราให้เข้มแข็งขึ้นมา

ฉะนั้น เวลาในสมัยพุทธกาลเวลาพระมาบวชสังคมจะบอกว่า“ทำไมมาบวชกันล่ะชีวิตยังเยาว์วัยต้องใช้ชีวิตกันให้มันอิ่มเต็มก่อน พอชราคร่ำคร่าค่อยมาบวช เมื่อไหร่มาบวชก็ยังทัน”

เวลาบวชทันนี่ไม้แก่ เวลาภิกษุบวชเมื่อแก่ ผู้ที่ว่าง่ายสอนง่ายหายากว่าง่ายสอนง่ายสอนใคร สอนใคร? สอนหัวใจไง สอนหัวใจที่มันมีกิเลสสอนหัวใจที่มันต่อต้าน ภิกษุบวชใหม่เป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก ภิกษุใหม่ทนคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทนธรรมะไม่ได้

อย่างพวกเรานี่ฆราวาสธรรมศึกษานี่เราเป็นฆราวาสไง เราถือศีล๕ เราศึกษาแล้วเราก็เข้าใจได้หมด เราก็ทำอะไรได้ทั้งนั้นแหละ เพราะมันไม่เคยทำ ไม่เคยทำมันคิดได้หมดแหละนู่นก็ทำได้ นี่ก็ทำได้นู่นก็ทำได้...มาทำดูสิ พอมาภาวนาสิพอบวชมาแล้ว“โอ๋ย! ทำไม่ได้ อู้ฮู! พอบวชแล้วนะอยากนู่น อยากนี่” เวลาเป็นฆราวาสนะมันเป็นเรื่องสามัญสำนึก เรื่องปกติของโลก สิทธิเสรีภาพทุกคนก็มีพอบวชมาแล้วไม่ได้แล้ว ต้องถือพรหมจรรย์ นู่นก็ผิดนี่ก็ผิด โอ๋ย! ผิดไปหมด ขยับไม่ได้ พระสมัยพุทธกาลไปหาพระพุทธเจ้า บอก“โอ๋ย! วินัยมันยุ่งมากเลย สึก”

พระพุทธเจ้าถามเลย “ถ้าศีลเหลือข้อเดียว อยู่ได้ไหม”

“ได้”

“แล้วข้อไหนล่ะ”

“รักษาใจรักษาใจ”

ไอ้ลิงตัวนี้รักษายากที่สุด ถ้ารักษาใจตัวเองแล้วเราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เจตนาอาบัติของจิตมันไม่มี แต่อาบัติของกายมันมี มีการกระทำแล้วมันเป็นอาบัติทั้งนั้นแหละมันผิดกฎหมายทั้งนั้นแหละ เพราะใครห้ามความคิดได้ ใครห้ามความคิดไม่ให้คิดแส่ส่ายไปได้ ใครห้ามความคิดตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าห้ามความคิดได้มันก็ต้องมีสติปัญญาบริกรรมพุทโธปัญญาอบรมสมาธิจะห้ามความคิดห้ามความคิดไม่ให้คิดเรื่องอื่นเลย คิดแต่พุทโธๆๆ

ความคิดเหมือนกัน ความคิดแก้ความคิด พอความคิดแก้ความคิดขึ้นมา มันปล่อยวางเข้ามา มันก็สงบของมันเข้ามาถ้ามันสงบเข้ามาเห็นคุณค่าเลยโอ้โฮ! เราแสวงหาแต่ทรัพย์สมบัติ เราแสวงหาแต่สมบัติของเราทั้งนั้นแหละแล้วไอ้ที่มีค่าที่สุดที่เป็นอริยทรัพย์ ที่เป็นความจริงในหัวใจ เราปล่อยมันไม่ดูแลมัน ดูสิ ลูกหลานเรา เราไม่ดูแลมัน เราก็เสียใจว่าเราไม่ดูแลลูกหลานเราให้คนอื่นมาปอกลอกมันไป

แต่เวลาหัวใจอยู่กับเรานี่อยู่กลางหัวอกนี่ ไม่เคยดูแลมันเลย

“แล้วทำไมจะไม่ดูแล อาบน้ำอาบท่าทุกวัน”...ไอ้นี่มันผิวกาย “อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดทุกวัน อู๋ย! ดูแลทุกวัน”...ดูแลจริงหรือ ดูแล ทำไมมันคิดไปข้างนอกดูแล ทำไมมันฟุ้งซ่านไป ดูแลทำไมมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัว ทำไมมันเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาถ้าดูแลมัน

ดูแล เขาต้องดูแลด้วยสติมีสติระงับมัน แล้วมีคำบริกรรมดูแลมัน ดูแลมัน พอดูแล ถ้าเราปล่อยสุขสบายมันก็อยู่ของมันสุขสบาย พอจะมาควบคุมดูแลมันอึดอัดแล้ว พุทโธก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ อึดอัดไปหมดเลย แต่เวลาปรารถนาความดีอยากได้ แต่เวลาทำมันทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะอะไรล่ะเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเป็นเจ้าเรือน มันครองอยู่บนหัวใจนั้น เห็นไหม กิเลสนี้เราไม่ต้องการมันเราอยากกำจัดมัน

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกเลย”

“มารเอยเธอเกิดจากความดำริ”

ยังไม่ได้คิดเลย มันไสออกมามันดันออกมา แล้วบอกว่า “จิตไม่ส่งออก ส่งออกไม่ได้จิตส่งออกไม่ได้”...จิตส่งออกไม่ได้ก็คนตายไง คนตายแล้วส่งออกไม่ได้ คนเป็นส่งออกหมด แล้วส่งออกด้วยมารด้วย

แต่พุทโธๆปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา กำจัดมารให้มารเบาบางลงเบาบางลงจนมันสงบได้ มันเปิดโอกาสให้เราฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญา นี่อริยทรัพย์แม้แต่จิตสงบแล้วเราก็เห็นคุณค่าแล้วว่าหัวใจมันต้องการบำรุงรักษาไม่มีใครบำรุงรักษามัน แล้วเราบำรุงรักษาหัวใจของเราแล้ว แล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาของเราให้เกิดภาวนามยปัญญา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เป็นศาสดา ประกาศตนว่าเป็นพระอรหันต์ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ให้กับชาวพุทธ บริษัท ๔ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ด้วยอริยมรรค ด้วยสัจจะ ด้วยความจริงแล้วมันไม่มีใครส่งต่อให้ใครได้อริยมรรคเกิดขึ้นจากการฝึกฝน เกิดจากการขวนขวายของเรา สติทางโลกมีสติมีปัญญาทางโลกเราก็แสวงหาสมบัติทางโลกด้วยอำนาจวาสนาของเรา

แต่เวลาเราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะมีมากน้อยขนาดไหนเราเสียสละ เราต้องวางไว้ เพราะอะไรเพราะเราจะแบกทรัพย์สมบัติ แบกทิฏฐิมานะเข้าไปอยู่ในป่าในเขา มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นแหละ แม้แต่บริขารพระยังไม่เอาไปมากเลย เขาเอาแต่พอดำรงชีวิต ปัจจัย๔ คือมีบาตร มีจีวรมีกลด มีต่างๆ ก็เข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อความเบาเนื้อเบาตัว แล้วก็พยายามเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเรา คือไม่ให้คิดฟุ้งซ่านออกไปถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันเกิดความสุขความระงับขึ้นมาแล้ว เราถึงจะใช้สติปัญญา เกิดภาวนามยปัญญา เกิดวิปัสสนาญาณวิปัสสนาญาณจะเข้ามาชำระล้างในหัวใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาตรงนี้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ไง

รื้อสัตว์ขนสัตว์เพราะสัตตะเป็นผู้ข้อง จิตนี้เป็นผู้ข้อง ในเมื่อจิตนี้ยังเป็นผู้ข้องอยู่ จิตนี้ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ มันยังเป็นผู้ข้องอยู่ เราจะไม่โปรดมันหรือเราไม่โปรดตรงนี้ใช่ไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่เป็นปฏิสนธิจิต รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่เป็นนามธรรม เพราะสิ่งที่เป็นนามธรรมมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันถึงเกิดในวัฏฏะ กามภพรูปภพ อรูปภพ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาที่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ เห็นไหม“อานนท์ เธอบอกเขาเถิด ปฏิบัติบูชาเรา อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลยสิ่งที่เป็นข้าวของเงินทองเป็นอามิสบูชาทั้งนั้นแหละปฏิบัติบูชาเราเถิด”

นั่งสมาธิเถิดภาวนาเถิด อยู่ที่บ้านทำให้ดีๆ เถิดอยู่ที่บ้านปฏิบัติเถิดนี่ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รื้อสัตว์ขนสัตว์กันที่นี่ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจ รื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อให้ใจนี้ไม่เป็นผู้ข้องในวัฏฏะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นออกไปจากกิเลส นี่เป็นสมบัติของเรา

ลูกหลานเราดูแลมันหมดแหละ หัวใจจะเอาอะไรดูแล หัวใจต้องเอาสติเอาปัญญาดูแล ดูแลหัวใจของเรา รักษาหัวใจของเราให้มันเข้มแข็งขึ้นมา ให้เป็นสมบัติของเราสมบัติแท้ๆ ไงสมบัติของเราก็หาแล้ว สมบัติของเราหาให้ได้เพื่อเป็นกุศลของเรา เพื่อเป็นบุญกุศลของเรา ถ้ายังภาวนายังต่อเนื่องก็ให้เป็นกุศล ให้เป็นกุศลหมายความว่ามีบารมี อำนาจวาสนาต่อเนื่องกันไป ภาวนาให้ง่ายขึ้น ภาวนาให้สะดวกขึ้น ภาวนาให้มันแทงทะลุ รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง เอวัง